#echo banner=" นิทานเซ็น เรื่องที่ 09 ยิ่งให้เร็ว นั้นแหละจะยิ่งช้า/

นิทานเซ็น

ยิ่งให้เร็ว นั้นแหละจะยิ่งช้า

โดย พุทธทาสภิกขุ

คัดลอกจาก http://www.buddhadasa.com

นิทานเรื่อง "ยิ่งให้เร็ว นั้นแหละ จะยิ่งช้า" เรื่องนี้ จะมีประโยชน์มาก สำหรับ ครูบาอาจารย์ อาตมาจึงเลือกนำมาเล่า ให้ฟัง "ยิ่งให้เร็ว นั่นแหละ จะยิ่งช้า" เรื่องนี้ ถึงท่านจะ ไม่เรียกตนเองว่าครู ก็ตาม ก็ควรจะสนใจฟังในฐานะที่ว่าจะเป็นปัจจัยเกื้อกูลแก่การ เข้าใจธรรม และปฏิบัติธรรม เรื่องเล่าว่า

มีหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยากจะเป็นนักฟันดาบที่เก่งกาจ เขาไปหาอาจารย์สอนฟันดาบ ให้ช่วยสอนเขาให้เป็นนักฟันดาบ เขาถามอาจารย์ว่า จะใช้เวลาสักกี่ปี อาจารย์ ตอบว่าประมาณ 7 ปี เขาชักจะรวนเร เพราะว่า 7 ปี นี้มันเป็นเวลามิใช่น้อย ฉะนั้น เขาขอร้องใหม่ว่า เขาจะพยายาม ให้สุดฝีมือ สุดความสามารถ ในการศึกษา ฝึกฝน ทั้งกำลังกายกำลังใจ ทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ จะใช้เวลาสักกี่ปี อาจารย์ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ต้องใช้เวลาสัก 14 ปี" แทนที่จะเป็น 7 ปี กลายเป็น 14 ปี

หนุ่มคนนั้นก็โอดครวญขึ้นมาว่า บิดาของเขาแก่มากแล้ว จะตายอยู่รอมร่อแล้ว เขาจะพยายามอย่างยิ่งให้บิดาของเขาได้ทันเห็นฝีมือฟันดาบของเขาก่อนตาย เขาจะแสดงฝีมือฟันดาบของเขา ให้บิดาของเขาชมให้เป็นที่ชื่นใจแก่บิดา เขาจะพยายาม อย่างยิ่งที่จะแสดงความสามารถให้ทันสนองคุณของบิดา จะต้องใช้เวลาสักเท่าไร ขอให้อาจารย์ ช่วยคิดดูให้ดีๆ

ท่านอาจารย์ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นต้อง 21 ปี" นี้มันเป็นอย่างไร ขอให้นึกดู แทนที่จะ ลดลงมา มันกลายเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 21 ปี หนุ่มคนนั้นจะเล่นงานอาจารย์ อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะเป็นอาจารย์ จะทำอย่างอื่นก็ไม่ถูก นึกไม่ออก เพราะไม่มีใครจะเป็นอาจารย์สอนฟันดาบให้ดีกว่านี้ ซึ่งเป็นอาจารย์ของประเทศ ดังนั้น เขาก็ซังกะตาย อยู่ไปกะอาจารย์ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั่นเอง

หลายวันต่อมา อาจารย์ก็ใช้คนคนนี้ แทนที่จะเรียกไปสอนให้ใช้ดาบ ฟันดาบ กลับให้ทำครัว ให้ทำงานในครัว ให้ตักน้ำผ่าฟืน หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เรียกว่า ต้องทำงานในครัว

หลายวันล่วงมา วันหนึ่งอาจารย์ผลุนผลันเข้าไปในครัวด้วยดาบสองมือ ฟันหนุ่มคนนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สึกตัว อุตลุดเป็นการใหญ่ เขาก็ต้องต่อสู้ ไปตามเรื่องตามราว ของเขา ตามที่เขาจะสู้ได้ โดยใช้อะไรแทนดาบ หรือด้วยมือเปล่าๆ หรืออะไรก็สุดแท้ สองสามอึดใจแล้วก็เลิกกัน อาจารย์ก็กลับไป แล้วต่อมาอีกหลายวัน เขาก็ถูกเข้าโดยวิธีนี้อีก และมีบ่อยๆ อย่างนี้เรื่อยไป ไม่กี่ครั้งเขาก็กลายเป็นนักฟันดาบขึ้นมาได้ โดยไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งอาจารย์บอกว่า กลับบ้านได้ คือจบหลักสูตรแล้ว และปรากฏว่า ต่อมาหนุ่มคนนี้ ก็เป็นนักดาบลือชื่อของประเทศญี่ปุ่นไป

นิทานของเขาก็จบ

ท่านลองคิดดูว่า นิทานเรื่องนี้ สอนว่าอย่างไร? ตอบสั้นๆ ที่สุดก็คือว่า การทำอะไร ด้วยความ ยึดมั่น ถือมั่น ว่าตัวตน ว่าของของตนนั้น ใช้ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเป็น ผลดีเลย คือ ถ้าหนุ่มคนนี้ยังคิดว่า กูจะดี กูจะเด่น อยู่ละก็ มีตัวกู เข้ามาฝึก เป็นตัวกู ที่ใหญ่เอาการ อยู่เหมือนกัน ทีนี้ ถ้ายิ่งจะทำให้ดีที่สุด กูจะทำให้เก่งที่สุด ให้เร็วที่สุด อย่างนี้ด้วยแล้ว ไอ้ตัวกู มันยิ่งขยายโตออกไปอีก ถ้ายิ่งจะให้ทันบิดาเห็น บิดาแก่มากจะตายแล้ว ตัวกูมันยิ่งพองมากออกไปอีก มันยิ่งเร่งร้อนออกไปอีก อย่างนี้จิตไม่เป็นสมาธิได้ จิตเต็มอัดอยู่ด้วยตัวกู กลัดกลุ้มไปด้วยตัวกูของกู ไม่เป็นจิตว่าง ไม่เป็นตัวสติปัญญาอยู่ในจิต ไม่สามารถจะมีสมรรถภาพเดิมแท้ของจิตออกมาได้ เพราะมัน กลัดกลุ้มอยู่ด้วยอุปาทาน ว่า ตัวกูของกู หรือ ความเห็นแก่ตัวนี้ มันเลยไม่เฉียบแหลม ไม่ว่องไว ไม่ active อะไรหมด

ฉะนั้น ถ้าขืนทำไปอย่างนี้จริงๆ แล้ว จะต้องใช้เวลา 7 ปี หรือว่า 14 ปี หรือว่า 21 ปีจริงๆขณะที่เขาอยู่ในครัวนั้น เขาไม่มีความรู้สึกว่า ตัวกู ของกู กูจะเอาใน 7 ปี หรือจะให้ทันบิดาเห็น อย่างนี้ไม่มีเลย กำลังเป็นจิตที่ว่างอยู่ ถึงแม้ว่าอาจารย์จะผลุนผลัน เข้าไปในลักษณะอย่างไร ปฏิภาณของจิตว่าง หรือ จิตเดิมแท้นี้ ก็มีมากพอที่จะต่อสู้ออกไปอย่างถูกต้องได้ มันเป็นการเรียกร้องขึ้นมา หรือ ปลุกขึ้นมาจากหลับ ปลุกจิตอันนี้ ขึ้นมาจากหลับ ตามวิธีของอาจารย์ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ มาเป็นจิตที่เบิกบานเต็มที่ ซึ่งต่อไปก็เอาไปใช้ได้เลย เขาจึงเป็นผู้สำเร็จหลักสูตรโดยวิธีประหลาดนั้น ภายในไม่ถึง 7 ปี หรือ ภายในไม่ถึงปี อย่างนี้เป็นต้น

เกี่ยวกับข้อนี้ อยากจะให้ท่านครูบาอาจารย์ สนใจที่จะนึกดูว่า ความรู้สึกที่เป็น ตัวตน หรือเป็นของตนนั้น อยู่ที่ตรงไหน? เหมือนอย่างว่า เราจะยิงปืน หรือ ยิงธนู หรือว่า ขว้างแม่น ในการกีฬาขว้างแม่น ถ้าจิตของผู้ขว้าง มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกู เป็นชื่อเสียงของกู ชื่อเสียงของโรงเรียนของกู ของมหาวิทยาลัยของกู รัวอยู่ในใจแล้ว ไม่มีวันที่จะ ขว้างแม่น หรือขว้างถูกได้ มันสั่นระรัว อยู่ด้วยตัวกู หรือของกูนี้ ทั้งนั้น ที่ถูกนั้น เมื่อมีความตั้งใจถูกต้อง ที่จะทำเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง ของโรงเรียน หรือของอะไรก็ตามแล้ว เขาต้องลืมหมด ลืมแม้แต่ตัวกู โรงเรียนของกู มหาวิทยาลัยของกู เหลืออยู่แต่สติปัญญา และ สติสัมปชัญญะ ที่จะขว้างด้วยอำนาจสมาธิ เท่านั้น คือพูดตรงๆ ก็ว่า ขณะนั้นมีแต่จิตที่เป็นสมาธิกับสติปัญญาเท่านั้น ตัวกู ของกู ไม่มีเลย มันจึงเป็นจิตเดิม เป็นจิตตามสภาพจิต มือไม้ไม่สั่น ใจไม่สั่น ประสาทไม่สั่น อะไรๆ ไม่สั่น ปกติ เป็น active ถึงที่สุดแล้วเขาจะขว้างแม่น เหมือนอย่างกะ ปาฏิหาริย์ นี้ขอให้เข้าใจอย่างนี้

หรือว่าในการจัดดอกไม้ในแจกัน คนจัดจะต้องทำจิตให้ว่าง จากความเห็นแก่ตัวกู หรือชื่อเสียงของกู ตลอดถึงโรงเรียนของกู หมู่คณะของกู เสียก่อน แล้วเสียบดอกไม้ไปด้วยจิตว่าง จิตบริสุทธิ์ นั่นแหละ คือ สติปัญญาล้วนๆ ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เจืออยู่ ก็จะได้แจกันที่สวยที่สุด ไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อน นี่เขาถือเป็นหลัก ของนิกายเซ็น ฉะนั้น ขอให้สนใจ ในการที่จะทำอะไร หรือมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่มีตัวกู ของกู มันยิ่งจำเป็นมาก สำหรับครูบาอาจารย์ ที่จะสอนเด็ก ให้ทำงานฝีมือดี ด้วยจิตใจที่ปกติ ไม่สั่น ในระบบประสาท ไม่สั่นในระบบของความคิดนึก หรือว่า เมื่อเด็กๆ จะสอบไล่ เมื่อเขารู้สึกตัวอยู่แล้วว่า จะต้องสอบได้แล้ว จะไปมัวห่วง กลัวจะสอบตก จะเสียชื่อ จะเสียเวลา ถ้าสอบไม่ได้ จะไปโดดน้ำตาย เป็นต้น จะต้องไปนึกทำไม นั่นเป็นเรื่องตัวกู ของกู เด็กคนนั้น จะต้องลืมสิ่งเหล่านั้นหมด และลืมแม้แต่กระทั่งตัวเอง คำว่า "ลืมตัวเอง" นี้ถ้าฟังไม่ดีแล้ว ก็จะไม่เข้าใจ แล้วจะรู้สึกเถียงแย้งขึ้นมาว่า เป็นไปไม่ได้ ที่จริงเราลืมตัวเราเองนี้ได้ ในลักษณะ หรือกรณีเช่น

เด็กๆ ในขณะสอบไล่นั้น จะต้องลืมหมด แม้กระทั่งตัวเอง เหลืออยู่ในใจ แต่ว่า ปัญหาว่าอย่างไร มีใจความว่าอย่างไร แล้วคำตอบควรจะว่าอย่างไร ถ้าจิตใจว่างจากตัวกู ว่างจากของกูแล้ว วิชาความรู้ต่างๆ ที่เคยสะสมมาตั้งแต่แรกเรียนนั้นจะมาหา พรู มาทีเดียว ให้เขาพบคำตอบว่า อย่างนั้นอย่างนี้ และถูกต้องที่สุด แต่ถ้าเขากลัดกลุ้ม อยู่ด้วยตัวกู ของกู แล้ว แม้เขาจะเคยเรียนมามากอย่างไร มันก็ไม่มา มันมีอาการ เหมือนกับลืม นึกไม่ออก นั่นแหละ แล้วมันจะระส่ำระสาย กระสับกระส่าย รวนเรไปหมด ก็เลยตอบไม่ได้ดี ถ้าสอบไล่ด้วยจิตว่างนี้ จะได้ที่หนึ่ง หรือ ยิ่งกว่าที่หนึ่ง เสียอีก

ฉะนั้น เขาจึงมีการสอนมาก ในเรื่องที่ว่า อย่าทำจิต ที่สั่นระรัว ด้วยตัวกู ของกู เพราะว่า การทำอย่างนั้น ยิ่งจะให้เร็ว มันจะ ยิ่งช้าที่สุด ตามชื่อของนิทานว่า "ยิ่งให้เร็ว มันยิ่งช้า" หรือ ที่เราจะพูดว่า จะเอาให้ได้ มันยิ่งจะไม่ได้เลย หรือว่า จะไม่เอาอะไรเลย มันยิ่งจะ ได้มาหมด คือ ไม่มีตัวเรา ที่จะเอาอะไรเลยแล้ว มันจะได้มาหมด